การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาปัจจัยทำนายการเข้าถึงบริการสุขภาพ ประกอบด้วย สวัสดิการสุขภาพ ความเชื่อสุขภาพ และการรับรู้การเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาร์ กลุ่มตัวอย่างเป็นแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาร์ที่ทำงานในสถานประกอบการอำเภอ บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 334 คน เครื่องมือเป็นแบบสอบถามตรวจสอบความแม่นตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน และหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคได้ 0.728 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์ถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบว่าแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาร์ส่วนใหญ่ เป็นเพศชาย ร้อยละ 72.50 อายุเฉลี่ย 27.78 ปี ร้อยละ 78.40 มีเชื้อชาติพม่า ร้อยละ 61.70 สถานภาพสมรสโสด ร้อยละ 48.20 ไม่เคยเรียนหนังสือ รายได้สุทธิเฉลี่ย 10,047.60 บาทต่อเดือน ระยะเวลาที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยเฉลี่ย 3.04 ในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ร้อยละ 40.70 มีอาการเจ็บป่วย ร้อยละ 68.60 ต้องการไปรับการรักษา ณ สถานบริการสุขภาพ ร้อยละ 58.10 มีบัตรประกันสังคม ร้อยละ 56.60 ไปรับบริการที่สถานบริการสุขภาพ เพราะอยู่ใกล้ที่พักอาศัย เมื่อเริ่มเจ็บป่วยส่วนใหญ่และเจ็บป่วยรุนแรง แรงงานเลือกไปรับบริการจากโรงพยาบาลของรัฐเป็นลำดับแรก คิดเป็นร้อยละ 45.21 และ 59.28 มีความเชื่อสุขภาพในภาพรวมระดับปานกลาง (x̄=3.41, S.D.=.895) รับรู้การเข้าถึงบริการสุขภาพในภาพรวมระดับปานกลาง (x̄=3.36, S.D.=.390) มีคะแนนคุณภาพชีวิตในภาพรวมระดับปานกลาง (x̄=3.50, S.D.=.407) และพบว่าการรับรู้สิทธิบริการสุขภาพและการสื่อสารข้อมูลสุขภาพ สามารถร่วมกันทำนายคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของแรงงานต่างด้าวร้อยละ 28.80 (Adj. R[square] = 0.288) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ข้อเสนอแนะจากการศึกษา คือ พยาบาลเวชปฏิบัติชุมชนหรือพยาบาลที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับแรงงานต่างด้าว ควรนำปัจจัยทำนายการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพไปสร้างความเข้าใจให้หน่วยงานที่รับผิดชอบหรือผู้เกี่ยวข้องในชุมชน องค์กรท้องถิ่น สถานประกอบการทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้แรงงานต่างด้าวรับรู้สิทธิทางสุขภาพของตนเอง ด้วยการสื่อผ่านช่องทางประชาสัมพันธ์ต่างๆ เช่น สื่อบุคคล สื่อ อิเล็กโทรนิกส์ ที่ผสมผสานวัฒนธรรมความเชื่อเดิมอย่างเหมาะสม รวมทั้งศึกษาปัจจัยความต่างทางวัฒนธรรมเพิ่มเติม หรือประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีอื่นๆ ในการทำความเข้าใจคุณภาพชีวิตของแรงงานต่างด้าวให้ลึกซึ้งขึ้น
The objective of this cross-sectional study was aimed to identify the predictive factors of access to health services that affect the health-related quality of life of Myanmar migrants workers, including health welfare, health belief and perceived access to health services that affect the health related quality of life of Myanmar migrant workers who worked for the companies in Bang Pa-in, Ayutthaya Province. In this study, the samples included 334 Myanmar migrant workers. To collect data, the questionnaires with content validated by three experts were used ; Cronbach's alpha coefficient was 0.728. Data analysis was performed using mean, standard deviation and coefficient of multiple regression analysis. The results showed that Myanmar migrant workers mainly were male (72.50 percent), overage age of 27.78 years. (78.40 percent), Burmese (61.70 percent), single (48.20 percent), illiterate,, net monthly average income was 10,047.06 baht, and average length of staying in Thailand was 3.04 year. Over the past three months, they reported getting sick (40.70), needs a treatment at medical facilities (68.60), hold a social security card (58.10), and were given health service at medical clinic nearly their residential house (56.60 percent). At onset of sickness or severe illness, they went to the state hospital first (45.21 percent and 59.28, respectively). Overall, the reported of health belief (x̄=3.41, S.D.=.895), perceived access to health services (x̄=3.36, S.D.=.390), and health related quality of life scored were moderate (x̄=3.50, S.D.=.407), respectively. In addtion, it found that the perceuved access to health services and health information communications were predictive of the health related quality of life of Myanmar migrants by 28.80 per cent (Adj. R[square] =0.288) at the statistical significance of level 05. For further investigation, the recommendation include that community nurse practitioners or nurses involving alien workers should take the predictive factors of the access to health services that affect the health related quality of to encourage the responible agencies or involved persons in the community, local organizations, both public and private corporations to understand that the alien workers can recognize their own right of healthcare through various relation media such as personal media, electronic media in which traditional belief is incorporated perperly, as well as the cultural difference dimesion or other theoretical applications to understan more deeply about the lived of migrant workers.
