การวิจัยครั้งนี้เป็นการสังเคราะห์งานวิจัยอย่างเป็นระบบ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและคุณลักษณะของวิทยานิพนธ์และการศึกษาอิสระ และสังเคราะห์องค์ความรู้ที่ได้จากวิทยานิพนธ์และการศึกษาอิสระ กลุ่มตัวอย่างเป็นวิทยานิพนธ์และการศึกษาอิสระ หลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลเวชปฏิบัติชุมชน คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในช่วงปี พ.ศ. 2550-2559 จำนวน 74 เรื่อง เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสังเคราะห์วิทยานิพนธ์และการศึกษาอิสระ เก็บรวบรวมข้อมูลในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน 2560 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่และร้อยละ และวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาผลการวิจัยพบว่า วิทยานิพนธ์และการศึกษาอิสระเป็นการวิจัยเชิงพรรณนา คิดเป็นร้อยละ 40.54 มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาล คิดเป็นร้อยละ 41.89 ศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน คิดเป็นร้อยละ22.97 ใช้สถิติเชิงพรรณนา คิดเป็นร้อยละ 55.40 มีประโยชน์ในการป้องกันระดับทุติยภูมิและระดับตติยภูมิ คิดเป็นร้อยละ 27.03 เท่ากัน และเน้นการศึกษาในกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มีปัญหาสุขภาพทางกาย กลุ่มที่มีปัญหาสุขภาพทางจิตใจ และกลุ่มที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพ จากการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่า ผู้บริหารควรนำผลการวิจัยเกี่ยวกับรูปแบบการวิจัย กลุ่มเป้าหมายที่ศึกษา ลักษณะภาวะสุขภาพที่ควรจัดการดูแล และแนวทางการจัดการดูแลภาวะสุขภาพ ไปเป็นข้อมูลในการวางระบบการจัดการเรียนการสอน และการพัฒนาหลักสูตรต่อไป
This research synthesis aimed to analyze the characteristics of theses and independent studies and to synthesize the findings of these studies. The samples were 74 published studies in Master of Nursing Science Program in Community Nurse Practitioner, Faculty of Nursing, Huachiew Chalermprakiet University between 2007 and 2016. The research instrument was a survey form of research summary and synthesis of information. Data were collected from January to June, 2017 and were analyzed using frequency, percentage and content analysis. The research results revealed that most studies in the program were descriptive research(40.54%), the purpose of these studies focused on developing clinical nursing practice guideline(41.89%), the main target was diabetic patient (22.97%), using descriptive statistics (55.40%),and the studies could be beneficial for secondary and tertiary prevention (27.03% equally).The target groups of these studies were divided into 3 categories:- the physical health problems, the mental health problems, and the risk for health problems. This research suggests that the nursing executives should take the research results regarding research design, target group, characteristic of health status, and caring guideline for learning and teaching management and curriculum development.