Abstract:
การศึกษาเรื่อง สภาพการจ้างในสถานประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ มีวัตถุประสงค์คือ 1) ต้องการสำรวจถึงสภาพการจ้างงานในโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ 2) ศึกษาปัจจัยต่างๆ รวมทั้งบทบาทของสหภาพแรงงานที่มีผลต่อการกำหนดและปรับเปลี่ยนสภาพการจ้าง 3) ศึกษาว่าสถานประกอบการได้ปฏิบัติตามมาตรฐานการจ้างตามที่กฎหมายกำหนดได้มากน้อยเพียงใด
ผลการศึกษาสภาพการจ้างในอุตสาหกรรมยานยนต์ พบว่า สถานประกอบการส่วนใหญ่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีลูกจ้าง 1-49 ร้อยละ 84.9 ประกอบกิจการประเภททำชิ้นส่วนพิเศษ หรืออุปกรณ์รถยนต์หรือรถพ่วง จ่ายค่าจ้างลูกจ้างเป็นรายเดือน ส่วนใหญ่ประกอบกิจการอยู่ในช่วง 1-10 ปี ประกอบธุรกิจแบบครอบครัวโดยบริหารงานโดยเจ้าของ/เครือญาติภาวะทางการตลาดส่วนใหญ่ไม่มีคู่แข่ง (ผูกขาดรายเดียว) สินค้าที่ผลิตส่วนใหญ่จำหน่ายในประเทศร้อยละ 57.9 ลูกจ้างส่วนใหญ่จบปริญญาตรี ร้อยละ 26.0 มีอายุกากรทำงานในช่วง 5-10 ปี รายได้ต่อเดือนๆ ละ 5,100.00-10,000.00 บาท ลูกจ้างส่วนใหญ่ไม่มีเงินออมร้อยละ 34.2 มีรายได้จากเงินทิปของลูกค้าร้อยละ 25.0
ในกรณีของปัจจัยของสถานประกอบการ ประเภทการผลิต รูปแบบการบริหารงาน ภาวะทางการตลาด ผลการประกอบการ การจัดโครงสร้างองค์กรบริหารมีผลต่อสภาพการจ้างงาน ในสถานประกอบการไม่ว่าจะเป็นค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา รวมถึงสวัสดิการทางสังคมและทางเศรษฐกิจ
มาตรฐานการจ้างส่วนใหญ่จ่ายค่าจ้างรายเดือน การจ่ายค่าจ้างล่วงเวลาในวันหยุด มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนเงินทดแทน อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด รวมถึงการทำงานวันละ 8 ชม. มีวันหยุดประจำสัปดาห์ได้รับค่าจ้างร้อ้ยละ 97.1 ได้รับวันหยุดประจำสัปดาห์ 1 วัน ร้อยละ 61.7 ได้รับค่าจ้างล่วงเวลาในวันทำงานปกติ 1.5 เท่าของค่าจ้างร้อยละ 57.2 ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายกำหนด
ในกรณีบทบาทสหภาพแรงงานนั้น สถานประกอบการส่วนใหญ่ไม่มีสหภาพแรงงาน สำหรับสถานประกอบการที่มีสหภาพแรงงาน พบว่า สหภาพแรงงานมีบทบาทในการดำเนินการจัดทำแผนและเสนอนโยบายเกี่ยวกับสวัสดิการของลูกจ้าง การมีสวัสดิการเงินช่วยเหลือในเรื่องต่าง ๆ การมีส่วนร่วมในการผลักดันเงินโบนัส เบี้ยขยันและการเพิ่มค่าจ้างในระดับมากที่สุด สำหรับการผลักดันให้นายจ้างปรับปรุงสวัสดิการนันทนาการ และการเสริมความรู้ การปรับเพิ่มวุฒิให้กับลูกจ้างสหภาพแรงงานมีบทบาทในระดับมาก แต่โดยภาพรวมสหภาพแรงงานจะมีบทบาทในระดับมากที่สุด
จากผลการศึกษาพบประเด็นที่ใคร่ของเสนอแนะดังนี้
1. ด้านความมั่นคงในการทำงานจากการศึกษา พบว่า ลูกจ้างบางส่วนยังเป็นลูกจ้างรายวันและลูกจ้างเหมาค่าแรง ความมั่นคงในการทำงานจีงมีค่อนข้างต่ำ ภาครัฐควรจัดระบบการจ้างให้เป็นมาตรฐานให้เป็นรูปแบบเดียวกัน เช่น ควรบรรจุลูกจ้างรายวันเป็นลูกจ้างรายเดือน เมื่ออายุงานไม่เกิน 2 ปี เพื่อที่จะสร้างความมั่นคงให้ลูกจ้างในการทำงาน รวมถึงควรจัดตั้งกองทุนเงินสะสมหรือเงินบำเหน็จเงินบำนาญเกษียณอายุโดยบริษัทเป็นผู้สมทบฝ่ายเดียวในกรณีที่ทำงานจนเกษียณอายุ
2. ด้านเศรษฐกิจ ลูกจ้างส่วนใหญ่มีรายได้ประมาณ 5,001-10,000 บาท และไม่มีเงินออมเป็นส่วนมาก เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานดียิ่งขึ้น ควรจัดให้มีโครงสร้างค่าจ้างให้มีการปรับเงินเดือน ปรับเบี้ยขยันขึ้นทุกปี รวมทั้งควรจัดให้มีการช่วยเหลือในด้านสวัสดิการต่าง ๆ ให้เพิ่มขึ้น เช่น สวัสดิการเงินกู้ (ดอกเบี้ยต่ำ)
3. ด้านการศึกษา เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ควรมีการพัฒนาความรู้ทางด้านภาษาที่ใช้ในการปฏิบัติงาน
4. ด้านสวัสดิการ ควรผลักดันให้สถานประกอบการทุกแห่งมีการประกันภัยชีวิตหมู่ให้กับลูกจ้างทุกคนเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพความปลอดภัยในการทำงาน