ปัจจัยที่สัมพันธ์กับแนวโน้มพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลโดยประยุกต์ใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ

Abstract

การศึกษานี้เป็นการประยุกต์ใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพมาใช้ในการศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับแนวโน้ม พฤติกรรมการใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับแนวโน้มพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ฯ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหวางการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคและความรุนแรงของโรคกับแนวโน้มพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ ฯ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ต่อภาวะคุกคามของโรคกบแนวโน้มพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ฯ 4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ประโยชน์และอุปสรรคของการป้องกนโรคกับแนวโน้มพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ฯ 5) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งชักนําสู่การปฏิบัติกับแนวโน้มพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ฯ ศึกษาในพนักงานโรงงานผลิตสี 107คน เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถามปัจจัย ที่สัมพันธ์กับแนวโน้มพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ฯ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียรสัน และการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า ข้อมูลส่วนบุคคลและการรับรู้ถึงประโยชน์และอุปสรรคของการป้องกันโรคไม่มีความสัมพันธ์กับแนวโน้มพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ฯ ที่ระดับนัยสําคัญ 0.05 การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคและความรุนแรงของโรค การรับรู้ต่อภาวะคุกคามของโรคและสิ่งชักนําสู่การปฏิบัติมีความสัมพันธ์กับแนวโน้มพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ฯ (r = 0.220, 0.205, -.208, p-value = 0.034, 0.048, 0.045 ตามลําดับ) ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ พบว่า การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคและความรุนแรงของโรคเท่านั้นมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับแนวโน้มพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ฯ (p-value=0.034) การศึกษาในอนาคตควรศึกษาเพิ่มเติมในปัจจัยอื่นๆ เช่น ระดับความรู้ ความเข้าใจ รวมทั้งองค์ความรู้อื่นๆ และควรศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และในอาชีพอื่นๆ

This research applied Health Belief Model to study in the relevant factors related to the likelihood of Personal Protective Equipment (PPE) utility. The objectives were :1) to determine the relationship between personal information with the likelihood of PPE utility, 2) to determine the relationship between the perceived susceptibility of disease with the likelihood of PPE utility, 3) to determine the relationship between the perceived threat of disease with the likelihood of PPE utility, 4) to determine the relationship between the perceived benefits and barriers of the disease prevention with the likelihood of PPE utility, and 5) to determine the relationship between the cues to action and the likelihood of PPE utility. The subjects were 107 production staffs in Painting Industry. The instruments were questionnaires, composed of related factors of the likelihood of PPE utility. The Pearson correlation and multiple regressions were applied to determine the relationship between relevant factors and the likelihood of PPE utility. The results showed that personal information and barriers of the disease prevention were not significant with the likelihood of PPE utility. The perceived susceptibility of disease and the perceived threat of disease presented positive significant relationship with the likelihood of PPE utility (r = 0.220, p-value = 0.034; r = 0.205, p-value = 0.048). Moreover, the cues to action had negative significant relationship with the results of the likelihood of PPE utility (r = -.208, p-value = 0.045). From the multiple regression analysis, there was only the perceived susceptibility of disease presented significant relationship with the likelihood of PPE utility (p-value=0.034). For further study, another factors such as knowledge, perception, and cognition are needed to accessed. In addition, the study should be performed in large sample size and in various occupations.