การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดดขวางเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (new normal) ในการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนใน 5 จังหวัดที่เป็นพื้นควบคุมสูงสุดของการระบาดจำนวน 576 คน ทำการสุ่มตัวอย่างบังเอิญ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีความเที่ยงตรงตามเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.9-1.0 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาคเท่ากับ 0.82 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่มโดยเปรียบรายคู่ด้วยสถิติ Independent t-test และ Fisher’s Least Significant Difference (LSD) ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยรวมอยู่ในระดับมาก (Mean=4.44, SD=0.54) ทั้งนี้การเว้นระยะห่างมีคะแนนน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับการล้างมือและการสวมใส่หน้ากกา (Mean=4.44, 4.51 และ 4.54 ตามลำดับ) ในส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (new normal) ในการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ได้แก่ อายุ อาชีพ การเข้ารับวัคซีน การมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคโควิด-19 การมีคนเป็นโรคโควิด-19 ในชุมชนที่อยู่อาศัย ประเภทช่องทางรับข้อมูลข่าวสาร และระดับความแออัดของชุมชนที่อยู่อาศัย ทั้งนี้กลุ่มอายุ 36-45 ปี อาชีพข้าราชการหรือพนักงานหน่วยงานราชการ และการรับข้อมูลข่าวสารจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เป็นกลุ่มที่มีคะแนนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ฯ ต่ำที่สุด จึงควรร่วมมือกับภาคเอกชนมากขึ้น โดยเน้นกิจกรรมเสริมสร้างการเว้นระยะหว่างทางสังคมแบบมีความสุขและจัดหาทีมงาน เช่น บุคลากรทางการศึกษา มาช่วยเสริมด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชนแออัด
The cross-sectional analysis study aimed to determine the factors affecting the level of new normal behavior for preventing the COVID-19 pandemic. The samples consisted of 576 people from 5 provinces which had the highest-level prevalence of the novel coronavirus pandemic. The samples were selected through accidental sampling, and data were collected using questionnaires with index of item-objective congruence (IOC) between 0.9-1.0 and Cronbach Alpha Coefficient of 0.82. The data were analyzed using descriptive statistics to determine percentages, mean, standard deviation, and test for differences between groups by comparing the pairs with independent t-test and Fisher’s least significant difference (LSD). The results showed that the overall score of new normal behaviors to prevent the pandemic of the 2019 novel coronavirus was at a high level (Mean=4.44, SD=0.54). Distancing was the lowest score compared to hand washing and mask wearing (Mean=4.44, 4.51 and 4.54, respectively). The factors significantly affecting the level of the new normal behaviors to prevent the COVID-19 pandemic were: age, occupation, vaccination, having a family member with COVID-19, the presence of someone with COVID-19 in a residential community, types of channels for receiving information, and the level of congestion in the community (p<0.05). The age group of 36-45 years old, civil servants or government employees and receiving information from public health officials were the group with lowest score. Therefore, cooperation among responsible sectors to focus on activities that promote happy social distancing, promoting the role of communication and public relations of public health officials and village health volunteers should be strengthen, particularly in slum areas.
