ฤทธิ์ต้านจุลชีพของสารสกัดหยาบจากใบกะเพราและใบกุ้ยช่ายต่อการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรคบางชนิด

Abstract

การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรคของสารสกัดหยาบจากใบกะเพราและใบกุ้ยช่าย ใบถูกสกัดด้วย 95% เอทานอล และนำสารสกัดมาทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตกับเชื้อแบคทีเรียก่อโรค 13 สายพันธุ์ ด้วยวิธี agar well diffusions ค่า minimal inhibitory concentration (MIC) และ minimal bactericidal concentration (MBC) ถูกกำหนดโดยวิธี broth dilution assay ผลการทดลองพบว่า สารสกัดจากใบกะเพราและใบกุ้ยช่าย มีฤทธิ์การยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียได้ถึง 8 และ 6 สายพันธุ์ตามลำดับ สารสกัดจากใบกะเพราสามารถยับยั้งและฆ่าเชื้อ Vibrio parahaemolyticus ได้ดีที่สุดด้วยค่า MIC/MBC เท่ากับ 8/16 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ในขณะที่สารสกัดจากใบกุ้ยช่ายสามารถยับยั้งและฆ่าเชือ Aeromonas hydrophila ได้ดีที่สุดด้วยค่า MIC/MBC เท่ากับ 16/16 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าสารสกัดใบกะเพราและใบกุ้ยช่ายมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรคบางชนิด อย่างไรก็ตามควรมีการศึกษาต่อไปเพื่อหาสารประกอบที่แท้จริงในสารสกัดที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย

The purpose of this study was to demonstrate the antibacterial activity of Ocimum sanctum and Allium tuberosum leaf crude extracts. Leaves were extracted using 95% ethnol and the antimicrobial activities tested against 13 pathogenic bacteria by agar well diffusion method. The minimum inhibitory concentration (MIC) and minimum bactericidal concentration (MBC) were determined by broth dilution assay. The results revealed that O. sanctum and A. tuberosum leaf extracts showed antibacterial activity against 8 and 6 of bacterial strains, respectively. The O. sanctum leaf extract had the best efficiency to inhibit and kill Vibrio parahaemolyticus with MIC/MBC values of 8/16 mg/ml, while the A. tuberosum leaf extract had the best efficiency to inhibit and kill Aeromonas hydrophila with MIC/MBC values of 16/16 mg/ml. These results that O. sanctum and A. tuberosum leaf extracts had antibacterial activity against some pathogenic bacteria. Nevertheless, the identification of active compounds in the extracts should be further investigated.