Abstract:
การศึกษา เรื่อง “ พฤติกรรมการจัดการปัญหาของครอบครัว : ศึกษาเฉพาะกรณี ผู้ปกครองนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 โรงเรียนวัดภาษี แขวงคลองตัน เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ” เป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นผู้ปกครองนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 โรงเรียนวัดภาษีฯ จำนวน 118 คน ในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติเชิงพรรณา ได้แก่ จำนวน ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเฉลี่ยรวม และสถิติวิเคราะห์ ได้แก่ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีลักษณะปัญหาของครอบครัวที่กำลังประสบอยู่โดยเรียงตามลำดับ คือ ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาด้านการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลาน ปัญหาด้าน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวกับชุมชน สิ่งแวดล้อม และสังคม ปัญหาด้านสุขภาพ ปัญหาด้านความรุนแรงในครอบครัว และปัญหาด้านสัมพันธภาพในครอบครัว ส่วนลักษณะปัญหาของ ครอบครัวที่มีความสำคัญ มีอิทธิพล และมีผลกระทบต่อครอบครัวของกลุ่มตัวอย่างมากที่สุด คือ ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวกับชุมชน สิ่งแวดล้อม และสังคม ปัญหาด้านด้านการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลาน ปัญหาด้านสุขภาพ ปัญหาด้านสัมพันธภาพในครอบครัว และปัญหาด้านความรุนแรงในครอบครัว ตามลำดับ พฤติกรรมการจัดการปัญหาของครอบครัว พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีการใช้พฤติกรรม การจัดการปัญหาทั้ง 3 วิธีผสมผสานกันตามแต่ละสถานการณ์ของลักษณะปัญหาในครอบครัว โดยกลุ่มตัวอย่างมีการใช้พฤติกรรมการจัดการปัญหาโดยตรง ระดับดีมาก ประกอบด้วย พฤติกรรมการจัดการปัญหาโดยตรงแบบการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ระดับดีมาก และพฤติกรรมการจัดการปัญหาโดยตรงแบบการเปลี่ยนแปลงตนเอง ระดับดีมาก ส่วนกลุ่มตัวอย่างมีการใช้พฤติกรรมการจัดการปัญหาโดยการใช้กลไกป้องกันทางจิต ระดับปานกลาง ประกอบด้วย การปฏิเสธความจริง การแยกทางอารมณ์และความคิด การกระทำตรงข้ามกับความรู้สึก การเก็บกด การแทนที่ การชดเชย การโทษผู้อื่น การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง การเฟ้อฝัน และการถดถอย การสนับสนุนทางสังคมของครอบครัว พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีการสนับสนุนทางสังคม โดยรวม ระดับปานกลาง ได้แก่ การสนับสนุนทางสังคมด้านจิตใจและอารมณ์ การสนับสนุนทางสังคมด้านข้อมูลข่าวสาร และการสนับสนุนทางสังคมด้านเงิน สิ่งของ และบริการ การศึกษาเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของพฤติกรรมการจัดการปัญหา จำแนกตาม ตัวแปรต่างๆ พบว่า เพศชาย-หญิง และผู้ที่มีบทบาทในครอบครัวต่างกัน มีการใช้พฤติกรรมการจัดการปัญหาโดยการใช้กลไกป้องกันทางจิตที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ส่วนการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของพฤติกรรมการจัดการปัญหารายด้าน กับ ลักษณะปัญหาของครอบครัว พบว่า ผู้ที่มีลักษณะปัญหาครอบครัวต่างกัน มีการใช้พฤติกรรมการจัดการปัญหาโดยตรงแบบการเปลี่ยนแปลงตนเอง ที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการสนับสนุนทางสังคมของครอบครัวรายด้าน กับพฤติกรรมการจัดการปัญหารายด้าน โดยการทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์ พบว่า การสนับสนุนทางสังคมด้านจิตใจและอารมณ์ และการสนับสนุนทางสังคมด้านข้อมูลข่าวสาร มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการจัดการปัญหาโดยตรงแบบการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ พฤติกรรมการจัดการปัญหาโดยตรงแบบการเปลี่ยนแปลงตนเอง และพฤติกรรมการจัดการปัญหาโดยการใช้กลไกป้องกันทางจิต ส่วนการสนับสนุนทางสังคมด้านเงิน สิ่งของ และบริการ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการจัดการปัญหาโดยตรงแบบการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ และพฤติกรรมการจัดการปัญหาโดยการใช้กลไกป้องกันทางจิต