Abstract:
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติในการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) โดยการพรรณนาซึ่งได้จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องผ่านทาง Internet ของธนาคาร และศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการให้สินเชื่อของธนาคารในส่วนของแหล่งที่มาของเงินทุนของธนาคารด้วยวิธีวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงซ้อนหลายตัวแปรเพื่ออธิบายปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณการให้สินเชื่อในช่วงปี พ.ศ. 2542-2548 ผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้ 1. การศึกษาหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติในการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารเรื่องปัจจัยบวก-ลบในการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัย การปรับอัตราดอกเบี้ย ปัญหาและทิศทางของการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัย หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารนั้น ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจชะลอตัวและเริ่มฟื้นตัว (ปี พ.ศ. 2542-2548) ธนาคารควรให้ความสำคัญกับการกำหนดนโยบายด้านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อให้สามารถขยายฐานสินเชื่อที่อยู่อาศัยและรักษาส่วนแบ่งตลาดของสินเชื่อที่อยู่อาศัยตามเป้าหมายที่กำหนด 2. ในการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงซ้อนหลายตัวแปรช่วงปี พ.ศ. 2542-2548 พบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณการให้สินเชื่อของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและสอดคล้องกับสมมติฐาน ได้แก่ ปริมาณเงินที่ธนาคารกู้ยืม ปริมาณเงินฝาก และปริมาณเงินกองทุน โดยเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการขยายสินเชื่อของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หากปริมาณเงินที่ธนาคารกู้ยิม ปริมาณเงินฝาก และปริมาณเงินกองทุนเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้ปริมาณเงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พบว่า แม้ว่าจะสอดคล้องกับสมมติฐาน แต่ไม่ส่งผลต่อปริมาณการให้สินเชื่อของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) จากผลการศึกษา ทำให้ได้ข้อเสนอแนะว่า ธนาคารควรคำนึงถึงการพัฒนผลิตภัณฑ์และการบริการให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการให้แก่ผู้ใช้บริการ เพื่อบรรลุเป้าหมายการเพิ่มปริมาณสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ ธนาคารควรบริหารเงินฝาก เงินกู้ เงินกองทุน ให้สอดคล้องกับแผนงานการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ส่วนอัตราดอกเบี้ยส่งผลต่อความต้องการกู้ยืมค่อนข้างมาก ธนาคารควรนำข้อมูลนี้ไปใช้ในการวางแผนพัฒนารูปแบบของการให้สินเชื่อด้วยดอกเบี้ยที่จูงใจเพื่อกระตุ้นให้เกิดความสนใจและในการปล่อยสินเชื่อควรนำนโยบายของรัฐบาลและสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันมาพิจารณาควบคู่กันไปด้วย
