การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเมื่อยล้าสายตา จากการใช้คอมพิวเตอร์ของเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขานุการประจำคณะทุกคณะในมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ทำการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เจ้าหน้าที่สำนักงานเลขานุการประจำคณะทุกคณะในมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ที่มีการใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชั่วโมง จำนวนทั้งสิ้น 41 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ส่วนที่เป็นแบบสอบถาม และส่วนที่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจวัด ประกอบด้วย เครื่องมื่อวัดความเมื่อยล้าสายตา (Flicker instrument) เครื่องมือตรวจวัดความเข้มของแสงสว่าง (Digital lux meter) และสายวัดระยะห่างสายตา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาร ได้แก่ ไคสแควร์ (Chi-Square Test) ในการวิเคราะห์ผล ผลการศึกษาพบว่า มีความเมื่อยล้าสายตาร้อยละ 14.6 จำนวน 6 คน จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ปัจจัยด้านบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ อายุการทำงานกับคอมพิวเตอร์ จำนวนชั่วโมงการนอนหลับ ความผิดปกติทางสายตา ไม่มีความสัมพันธ์กับความเมื่อยล้าสายตา ปัจจัยด้านงาน ได้แก่ ระยะเวลาในการพักเบรก ระยะเวลาในการใช้คอมพิวเตอร์ต่อเนื่อง และระยะห่างระหว่างคอมพิวเตอร์กับระดับสายตา ไม่มีความสัมพันธ์กับความเมื่อยล้าสายตา และผลการประเมินความเข้มของแสงสว่างไม่มีความสัมพันธ์กับความเมื่อยล้าสายตา อย่างไรก็ตามควรจัดอบรมความรู้เรื่องการทำงานกับคอมพิวเตอร์อย่างถูกวิธี การป้องกันความเมื่อยล้าสายตาม การนวดบริหารดวงตามหลังการทำงานน เพื่อเป็นการคลายความเมื่อยล้าทางสายตาที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองให้แก่เจ้าหน้าที่ จัดการปรับปรุงความเข้มแสงสว่าง ณ จุดปฏิบัติงานที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานกำหนดและปรับปรุงแสงสว่างให้เหมาะสมกับจุดปฏิบัติงานอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการเกิดความเมื่อยล้าสายตาในผู้ปฏิบัติงาน
The descriptive research aimed to study the factors related to visual fatigue. We included 41 computer using secretary from various faculties in Huachiew Chalermprakiet University. They used computer more than 2 hours. Questionnaire was used to collect data on secretary characteristics and working factors. Eye fatigue was classified based on flick fusion instrument. Light intensity was measured by Lux meter. Data analysis was done by Statistical Package for Social science. The result of the study showed that the prevalence of visual fatigue was 14.6%. None of studied factor was related to visual fatigue; including light intensity, personal factors, breaking time, computer using period, distance between the computer and eye. Even a significant contribution factor was not identified in this study, an appropriate computer using technique should be provided to prevent a further eye fatigue. Eye muscle exercise and relaxation after work will be advantage for relieve eye fatigue. Increase lighting intensity at critical work station will also be required at a curtained critical eye work.
