Abstract:
การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการเปรียบเทียบความสามารถในการเรียนรู้และนำไปปฏิบัติได้ ซึ่งเรียกว่าผลสัมฤทธิ์ โดยเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่ม ในด้านความสมบูรณ์ของร่างกาย คือ บุคคลผู้มีความพิการ เปรียบเทียบกับบุคลลที่มีสภาพร่างกายปกติ โดยใช้การทดลองแยกเป็นสองกลุ่ม มีการควบคุมสภาพแวดล้อมและเนื้อหาโดยการใช้การฝึกอบรม ให้การเรียนรู้ ที่กระทำต่อกลุ่มตัวอย่างซึ่งคำนึงถึงความเท่าเทียมกัน ซึ่งการทดลองนี้คำนึงถึงสภาพภูมิหลังและความรู้พื้นฐน ที่แตกต่างกันของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้หลักสูตรการฝึกอบรม “ช่างประกอบ และซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์” เป็นตัวแบบ การอบรมจะใช้การบรรยายประกอบการปฏิบัติจริงในเชิงอุปมาอุปมัยและทำการทดสอบผลด้วยแบบทดสอบ แล้วนำผลมาเปรียบเทียบกันของทั้งสองกลุ่ม แนวคำถามของแบบทดสอบจะมุ่งเน้นในประเด็น ความสามารถในการเข้าปัญหา หรือสถานการณ์จำลองที่กำหนดขึ้น เพื่อการแก้ไขหรือทำการพิสูจน์ทราบอันเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยปัญหาที่จะเกิดขึ้นจริงในการประกอบวิชาชีพนี้ อีกทั้งในการทำแบบทดสอบยังคงคำนึงถึงความเท่าเทียมกัน ในการเข้าถึงคำถามและคำตอบของแบบทดสอบ โดยการใช้วิธีการอ่านคำถามและอธิบายในวัตถุประสงค์ของคำถามนั้น ๆ จนผู้ทำแบบทดสอบเข้าใจ และในการตอบแบบทดสอบ โดยส่วนมากคำตอบจะเป็นการเลือกตอบในหัวข้อที่กำหนดหรือถ้าไม่สามารถทำได้ เมื่อต้องใช้การเขียนบรรยายจะมุ่งเน้นในใจความของคำตอบเป็นหลัก
ผลการศึกษาปรากฎดังนี้ กลุ่มตัวอย่างผู้พิการสามารถทำแบบทดสอบในภาพรวมได้สูงกว่า กลุ่มตัวอย่างของผู้มีสภาพร่างกายปกติ 67.7 ต่อ 64.9 ตามลำดับ หรือ คิดเป็นร้อยละ 3.11 ของความแตกต่าง เมื่อคำนึงถึงเฉพาะคำถามในเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้ทั่วไปและความสามารถในการประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ กลุ่มตัวอย่างผู้พิการสามารถทำแบบทดสอบได้สูงกว่า กลุ่มตัวอย่างของผู้มีสภาพร่างกายปกติ 58.4 ต่อ 55.3 ตามลำดับ หรือคิดเป็นร้อยละ 73.92 ของคะแนนเต็ม และ 31.1 ต่อ 30.6 ในเรื่องความสามารถในการซ่อมหรือเข้าถึงปัญหา 32.5 ต่อ 31.8 ในเรื่องการวิเคราะห์ปัญหาอาการต้นเหตุ ของคะแนนเฉลี่ยกลุ่มตัวอย่างคนพิการ ต่อกลุ่มบุคคลปกติ ตามลำดับ และเมื่อคิดเป็นร้อยละของคะแนนเต็มในเรื่องนั้น ๆ คือ 74.04 และ 79.26 ตามลำดับ
จากผลของงานวิจัยชิ้นนี้จะเห็นได้ว่าผู้พิการมีความพร้อมที่จะพัฒนาตนเองเพื่อให้มีความรู้ความสามารถได้ และอาจะพัฒนาความรู้ความสามารถได้ดีหรือดีกว่าคนธรรมดาหรือคนปกติเสียอีก อันเนื่องจากความมีกำลังใจในการที่จะต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งเขาเหล่านี้ได้กระทำมาแล้ว เมื่อพบกับความพิการ และเมื่อสังคมมีการเปิดโอกาส และไม่ปิดกั้นที่จะให้เขาเหล่านั้นได้ใช้ความสามารถในส่วนที่เขายังคงมีอยู่ได้อย่างเต็มที่