การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมชะลอความเสื่อมของไตในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดไม่ได้ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดไม่ได้ที่มารับบริการ ณ คลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จํานวน 124 คน ได้จากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามการรับรู้โอกาสเสี่ยง แบบสอบถามการรับรู้ประโยชน์ แบบสอบถามการรับรู้อุปสรรค แบบสอบถามการรับรู้ความสามารถของตนเอง แบบสอบถามสิ่งชักนําสู่การปฏิบัติและแบบสอบถามพฤติกรรมการชะลอความเสื่อมของไต ตรวจสอบความเชื่อมั่นได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคเท่ากับ .83, .94, .89, .88, .85, และ .73 ตามลําดับ วิเคราะห์สถิติพรรณนาและสถิติการถดถอยพหุคูณ ผลวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีของพฤติกรรมการชะลอความเสื่อมของไต โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (M=3.23, SD=0.61) โดยสิ่งชักนำสู่การได้รับการสนับสนุนจากบุคลากรสุขภาพ และการรับรู้ความสามารถของตนเองในการปฏิบัติพฤติกรรมการชะลอความเสื่อมของไตสามารถร่วมทํานายพฤติกรรมชะลอความเสื่อมของไตในกลุ่มตัวอย่างได้ร้อยละ 32.60 (R2= 0.326,p < .001) ผลการศึกษานี้พยาบาลควรพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมการชะลอความเสื่อมของไต โดยเน้นสิ่งชักนำสู่การปฏิบัติ ได้แก่ การได้รับการสนับสนุนจากบุคลากรสุขภาพ และการรับรู้ความสามารถของตนเอง
This study investigated the behaviors and factors of preservation of kidney function among patients with uncontrolled type 2 diabetes mellitus. The sample consisted of 124 patients with uncontrolled type 2 diabetes mellitus who were visiting a non-communicable chronic disease clinic (NCD) and were chosen through simple random sampling. The research instruments utilized in the study were general information questionnaires, perceived susceptibility, perceived benefits, perceived barriers, perceived self-efficacy, cues to action, and kidney function preservation behaviors. The instruments were reliable with Cronbach’s alpha coefficients of .83, .94, .89, .88, .85, and .73, respectively. Data was analyzed using descriptive statistics and multiple regression analysis. The results indicated that the overall score of kidney function preservation behaviors was moderate (M=3.23, SD=0.61). Cues to action, especially support from health personnel, and perceived self-efficacy in performing kidney function preservation behaviors significantly predicted 32.6% of the variance in kidney function preservation behaviors (R² = 0.326, p <.001). Based on these findings, nurses should develop programs to promote kidney function preservation behaviors, emphasizing cues to action, particularly healthcare personnel support, and enhancing perceived self-efficacy.