การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการไม่มารับการรักษาต่อเนื่องของสตรีที่มีผลแพปสเมียร์เป็นบวก ณ โรงพยาบาลพระราม 2 เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง คือ สตรีที่มาเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap's smear) ของโรงพยาบาลพระราม 2 ซึ่งมีผลการตรวจเป็นบวก และไม่ได้มารับการรักษา ต่อเนื่องจำนวน 7 ราย การเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เจาะลึก และการบันทึกภาคสนาม การ วิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการไม่มารับการรักษาต่อเนื่องของสตรีที่มีผลแพปสเมียร์เป็นบวก ประกอบด้วย 4 ปัจจัย ได้แก่ 1) การเงิน 2) ความกลัว 3) ความเชื่อ และ 4) ความรู้ เรื่องมะเร็งปากมดลูกไม่เพียงพอ
ผลการศึกษาครั้งนี้ ทำให้เข้าใจถึงปัจจัยที่มีผลต่อการไม่มารับการรักษาต่อเนื่องของสตรีที่มีผลแพปสเมียร์เป็นบวก สามารถนำผลการวิจัยมาเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการประเมินและให้การ ดูแลสตรีที่มีผลแพปสเมียร์เป็นบวก เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความรู้ คำแนะนำ ตลอดจนนำมาพัฒนา ระบบบริการที่เหมาะสม อีกทั้งยังสามารถลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกและการลุกลามของ โรค ตลอดจนลดอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปากมดลูก
The purpose of this study was to examine factors affecting on uncontinuing treatment of women with Pap's smear positive in Praram 2 Hospital, Bangkuntian District, Bangkok. Qualitative method was used in this study. The sample were 7 women who received Pap's smear screening test at Praram 2 Hospital which their results were positive and did not continue their treatment. In-depth interview and field note were used as data collection. Content analysis was applied as data analysis.
The result of this study found that factors affecting on uncontinuing treatment of women with Pap's smear positive were categorized into 4 factors: 1) Finance 2) Fear 3) Belief and 4) Insufficient of Knowledge in Cervix Cancer. of The result of this study provided an understanding of factors affecting on uncontinuing treatment of women with Pap's smear positive. This result was also used as data based in order to assess and provide care for women with Pap's smear positive in terms educating, advising, and developing an appropriated health care delivery system. Furthermore, this result would be able to reduce occurrence rate, invasive stage, and mortality rate of cervix cancer as well.
