Abstract:
ในช่วงก่อนหน้าวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ภาคอสังหาริมทรัพย์มีการขยายตัว เกินขนาดทั้งการลงทุนในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จนเกินความต้องการที่แท้จริงของตลาด ประกอบกับวิกฤตการณ์ทางการเงิน เศรษฐกิจของประเทศก้าวเข้าสู่วงจรถดถอย อสังหาริมทรัพย์จึงเป็นภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะอุปสงค์ที่ชะงักงัน ขณะที่ อุปทานส่วนเกินมีอยู่มหาศาล ซึ่งจากวิกฤติการณ์นี้เองจึงทำให้บริษัท ที โอ เอ จำกัด ซึ่งเป็น ผู้จำหน่ายสีรายใหญ่ที่สุดของประเทศประสบกับปัญหาการที่ยอดขายลดลง
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มยอดขาย และหาแนวทางแก้ไขปัญหาของบริษัทที่มี ส่วนแบ่งตลาดลดลง โดยช่วงปลายปี 2539 ต่อเนื่องมาถึงปี 2540 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นวิกฤต เศรษฐกิจ ส่งผลให้ธุรกิจก่อสร้างของไทยตกต่ำ และยอดขายของบริษัทเริ่มมีความผันผวนไป ไม่เป็นในแนวทางเดียวกับยอดขายของคู่แข่ง ซึ่งส่งผลให้ส่วนครองตลาดที่เคยเป็นของบริษัท ตกเป็นของคู่แข่ง บริษัทจึงจำเป็นต้องหาทางแก้ไขเพื่อเพิ่มฐานลูกค้าเดิมของบริษัทกลับมาและเพื่อเพิ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ยอดขายของบริษัทในปี 2545 เป็นต้นไป จะเพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่ภาครัฐเข้ามาสนับสนุนกิจการธุรกิจประเภทที่อยู่อาศัย เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีบ้านเป็นของตนเองโดยตั้งโครงการ “บ้านเอื้ออาทร” ขึ้นมา นอกจากนี้ ภาคการเงินยังให้การสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยใช้เงินจากธนาคารออมสิน และเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแก่ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ บริษัทมีการดำเนิน ทางการตลาดใหม่เพื่อที่จะเพิ่มยอดขายให้สัมพันธ์กับสภาพการเจริญเติบโตของธุรกิจ ในปี 2545 ที่คาดว่าจะมีการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มจากปีก่อนร้อยละ 8.2 โดยการวิเคราะห์ โครงสร้างของสภาพแวดล้อม ส่วนประสมทางการตลาด 4 P's การวิเคราะห์ BCG Model การวิเคราะห์วัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์และการกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ เพื่อใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความสามารถภายในและโอกาสทางการตลาดของ บริษัท อย่างไรก็ตามความสำเร็จของบริษัทในการบรรลุการเพิ่มยอดขายและรองรับการผลิต ในอนาคตจะเป็นรูปธรรมได้ก็ต่อเมื่อพนักงานทุกฝ่ายทุกระดับและทุกหน่วยงานต้องร่วมกัน ทำงาน แก้ไขปัญหาเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน และควรปรับปรุงแผนการตลาด ตลอดจน กลยุทธ์ต่าง ๆให้เหมาะสมกับสภาพการแข่งขันอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เนื่องจากปัจจัยภายนอก มีการเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหวตลอดเวลา