งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อพัฒนานาโนอิมัลชันชนิดน้ำในน้ำมัย (water in oil; w/o) ที่เตรียมโดยใช้เทคโนโลยีไมโครอิมัลชัน สำหรับกักเก็บและนำส่งสารสกัดเมล็ดองุ่นไทย ซึ่งอุดมไปด้วยสารพฤกษเคมีในกลุ่ม oligomeric proanthocyanidin (OPCs) ที่มีฤทธิ์ต้านออกซิเดชันสูงเหมาะแก่การนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และยังถือเป็นการสร้างมูลค่าให้วัสดุเหลือทิ้งจากภาคอุตสาหกรรม สารที่ใช้เป็นวัตภาคน้ำในระบบ คือ น้ำปราศจากไอออน/propylene glycol สารที่ใช้เป็นวัตภาคน้ำมัน คือ cety ethylhexanoate และสารที่เป็นอิมัลซิฟายเออร์ คือ sorbitan monooleate/polyglyceryl-10 oleate/polyglyceryl-2 oleare ในอัตราส่วน 1:1:2 โดยระบบไมโครอิมัลชันสูตร B3PG 1:0 และสูตร B3PG 1:0.5 ที่กักเก็บสารสกัดเมล็ดองุ่นไทยความเข้มข้น 1% ในสูตรมีความคงตัวทางกายภาพดี มีความหนืดต่ำและความเป็นกรด-ด่างของสูตรใกล้เคียงกับผิวหนัง เมื่อวัดขนาดอนุภาคได้ค่าเท่ากับ 6.6±0.32 และ 14.6±0.46 นาโนเมตร ตามลำดับ และสาร OPCs ในสูตรทั้งสองมีความคงตัวดีเมื่อเก็บในสภาวะเร่งแบบสลับอุณหภูมิ (45±1°C70±5%RH และ 5±1°C/45±5 %RH) เป็นระยะเวลา 150 วัน หรือ 10 รอบของการสลับอุณหภูมิ นาโนอิมัลชันของสารสกัดเมล็ดองุ่นไทยที่เตรียมได้มีความสามารถในการกำจัดอนุมูลซุปเปอร์ออกไซด์แอนไอออน เมื่อเทียบกับสารมาตรฐานกรดแอสคอร์บิกและ Trolox ® และจากผลการประเมินความเป็นพิษต่อเซลล์ไฟโบรบลาสท์ด้วยวิธี MTT assay ทำให้ทราบว่าผลิตภัณฑ์ที่เตรียมขึ้นมีแนวโน้มที่ไม่มีความเป็นพิษต่อเซลล์
The present study aims to develop nanoemulsion containing Thai grappe seed extracts of Vitis vinifera cv. Ribier (POK DUM) for topical delivery. Water-in-oil (W/O) nanoemulisions cosmetics were prepared by microemulsion technology. The study system were contained of cetyl ethylhexanoate act as oil phase, sorbitan monooleate/polyglyceryl-10 oleate/polyglyceryl-2 oleate (ratio 1:1:2) as hydrophobic emulsifier and a mixture of water and propylene glycol (ratio 1:1) as cosolvent. The 1% Thai grape seed extract nanoemulsion formulations (B3PG 1:0 and B3PG 1:0:5) had droplet size range between 6.6±0.32 to 14.6±0.46 nanometers, low viscosity and pH value was suitable and mild to human skin. The formulations were found physically and chemically stable at 45±1°C70±5%RH and 5±1°C/45±5 %RH for the period of 150 days. In vitro antioxidant capacity of the formulations was determined against superoxide anion (O2) using photochemiluminescence (PCL) method. It was found that the formulations possessed O2 scavenging compared with ascircic acid and Trolox ®. In addition, both of formulations was potentially non toxic to normal human dermal fibroblast (NHDF) cell line determined using MTT assay.