Please use this identifier to cite or link to this item: https://has.hcu.ac.th/jspui/handle/123456789/1490
Title: รายงานวิจัยคุณลักษณะของบัณฑิตตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ และคุณลักษณะพิเศษของบัณฑิต หลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตร์บัณฑิต ปีการศึกษา 2565
Other Titles: Characteristics of Graduates According to Thai Qualifications Framework for Higher Education (TQF: HED) and Special Characteristics, Bachelor of Social Work Program, Academic Year 2022
Authors: ศิริพร เกื้อกูลนุรักษ์
Siriporn Kaukulnuruk
Huachiew Chalermprakiet University. Faculty of Social Work and Social Welfare
Keywords: บัณฑิต -- การจ้างงาน
Social welfare
สังคมสงเคราะห์
การมีงานทำ
Issue Date: 2566
Publisher: มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
Abstract: การวิจัยเรื่อง คุณลักษณะของบัณฑิตตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติและคุณลักษณะพิเศษของบัณฑิต หลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิต ปีการศึกษา 2565 มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาภาวะการมีงานทำ และการศึกษาต่อของบัณฑิตระดับปริญญาตรี หลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา 2564 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้บังคับบัญชา/นายจ้างที่มีต่อคุณลักษณะของบัณฑิต ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ บัณฑิตระดับปริญญาตรี สำเร็จการศึกษาหลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิตในปีการศึกษา 2564 จำนวน43 คน ได้รับแบบสอบถามกลับคืนจำนวน 38 คน คิดเป็นร้อยละ 88.37 และผู้บังคับบัญชา/นายจ้างของบัณฑิต จำนวน 35 คน ได้รับแบบสอบถามกลับคืนจำนวน 26 คน คิดเป็นร้อยละ 74.28ผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้1. ภาวะการมีงานทำและการศึกษาต่อของบัณฑิตบัณฑิตส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 86.8) อายุ 23 ปีมากที่สุด (ร้อยละ 39.5) มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล (ร้อยละ 39.5) จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สายวิทย์-คณิต (ร้อยละ 50.0) สมัครเข้าเรียนเป็นครั้งแรก (ร้อยละ 71.1) เหตุผลที่สมัครเข้าเรียนคือ มีความสนใจอยากประกอบอาชีพเป็นนักสังคมสงเคราะห์ (ร้อยละ 65.8) สำเร็จการศึกษาภายใน 4 ปี (ร้อยละ92.1) บัณฑิตรุ่นนี้ได้เกรดเฉลี่ย ( ) เท่ากับ 2.92ภาวะการมีงานทำของบัณฑิต พบว่า ส่วนใหญ่มีงานทำ (ร้อยละ 92.1) ไม่ได้ศึกษาต่อ (ร้อยละ 89.5) ประมาณครึ่งหนึ่งมีความต้องการศึกษาต่อ (ร้อยละ 50.0) โดยส่วนใหญ่ต้องการศึกษาต่อปริญญาโทด้านสังคมสงเคราะห์ (ร้อยละ 33.3)ระยะเวลาการได้งานทำครั้งแรกหลังสำเร็จการศึกษา 4-6 เดือน (ร้อยละ 44.7) ส่วนใหญ่ไม่เคยเปลี่ยนงานหลังจากได้งานทำครั้งแรก (ร้อยละ 71.1) ทำงานในหน่วยงานราชการ (ร้อยละ 62.9)เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มากที่สุด (ร้อยละ 54.5)ทำงานอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล (ร้อยละ 62.9) ทำงานในตำแหน่งนักสังคมสงเคราะห์ (ร้อยละ32.2) ได้รับเงินเดือน 14,001 – 16,000 บาท (ร้อยละ 51.4) บัณฑิตส่วนใหญ่ทำงานเกี่ยวข้องกับสังคมสงเคราะห์/สวัสดิการสังคม (ร้อยละ 68.6) มีความพึงพอใจงานในระดับมาก (ร้อยละ 54.3)ส่วนเหตุผลที่บัณฑิตรู้สึกเฉยๆหรือไม่พอใจกับงาน ได้แก่ ค่าตอบแทนต่ำ (ร้อยละ 40) และขาดความมั่นคง (ร้อยละ 40.00) ได้นำความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ในระดับมาก (ร้อยละ 45.7)การสอบและขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พบว่า บัณฑิตส่วนใหญ่ยังไม่เคยสมัครสอบ (ร้อยละ 78.9) และมีเพียงร้อยละ 2.6 ที่ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสังคมสงเคราะห์รับอนุญาตผลการประเมินตนเองของบัณฑิตตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พบว่าบัณฑิตมีความพึงพอใจต่อคุณลักษณะตามมาตรฐานผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcomes) ในภาพรวมทั้ง 6 ด้าน อยู่ในระดับพึงพอใจมาก ( = 4.05) และผลการพัฒนาคุณลักษณะพิเศษของบัณฑิตคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และสวัสดิการสังคม อยู่ในระดับมาก ( = 4.17) โดยเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ย ได้ดังนี้ ด้านคุณธรรม จริยธรรม ( = 4.37) ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ ( = 4.21) ด้านความรู้ ( = 4.05) ด้านทักษะทางปัญญา ( = 4.02)ด้านทักษะการปฏิบัติทางวิชาชีพ ( = 3.84) และด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ( = 3.82) ตามลำดับผลการประเมินด้านคุณลักษณะพิเศษของบัณฑิต พบว่า อยู่ในระดับพึงพอใจมาก ( =4.17) โดยคุณลักษณะย่อยที่ได้รับการประเมินความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ย ได้ดังนี้ สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ( = 4.36) มีจิตอาสาเรียนรู้เพื่อรับใช้สังคม ( =4.34) มีคุณธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ ( = 4.31) มีความรับผิดชอบต่อสังคม (= 4.26) และเป็นผู้มีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ( = 4.21)2. ความพึงพอใจของผู้บังคับบัญชา/นายจ้างที่มีต่อคุณลักษณะของบัณฑิต ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติผู้บังคับบัญชา/นายจ้างเป็นเพศหญิง (ร้อยละ 69.2) ตำแหน่งผู้บริหารระดับกลาง/ผู้จัดการ/หัวหน้าฝ่าย (ร้อยละ 80.8) อยู่ในหน่วยงานราชการ (ร้อยละ 84.6) เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับงานสังคมสงเคราะห์ (ร้อยละ 84.6) และมีระยะเวลาร่วมงานกับบัณฑิต 3-5 เดือน (ร้อยละ 65.4)(ง)ผู้บังคับบัญชา/นายจ้างมีความพึงพอใจต่อคุณลักษณะของบัณฑิตตามมาตรฐานผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcomes) ในภาพรวมทั้ง 6 ด้าน อยู่ในระดับพึงพอใจมาก ( = 4.10) เมื่อพิจารณาตามรายด้าน พบว่า มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด 2 ด้าน คือ ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ ( = 4.29) และด้านคุณธรรม จริยธรรม ( = 4.26) ส่วนคุณลักษณะที่เหลือมีความพึงพอใจในระดับมาก 4 ด้าน คือ ด้านความรู้ ( = 4.12) ด้านทักษะการปฏิบัติทางวิชาชีพ ( = 4.08) ด้านทักษะทางปัญญา ( = 4.08) และด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ( = 3.84) ตามลำดับผลการพัฒนาคุณลักษณะพิเศษของบัณฑิต พบว่า ผู้บังคับบัญชา/นายจ้างมีความพึงพอใจต่อคุณลักษณะพิเศษในภาพรวม อยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด ( = 4.38) เมื่อพิจารณาคุณลักษณะย่อย พบว่า มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด 5 ข้อ ดังนี้ มีจิตอาสาเรียนรู้เพื่อรับใช้สังคม ( =4.58) สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ( = 4.54) มีคุณธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพสังคมสงเคราะห์( = 4.46) เป็นผู้มีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ( = 4.46) และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ( =4.46) ส่วนคุณลักษณะที่มีความพึงพอใจในระดับมาก 2 ข้อ ได้แก่ เป็นผู้ที่มีความรู้ และมีทักษะในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ระดับปฏิบัติการตรงกับกลุ่มเป้าหมาย/ผู้ใช้บริการ ( = 4.19) และสามารถคุ้มครองสิทธิสวัสดิการของกลุ่มเป้าหมาย ( = 4.00)
Description: ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัย ประจำปีการศึกษา 2565 จากมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ตุลาคม 2566
URI: https://has.hcu.ac.th/jspui/handle/123456789/1490
Appears in Collections:Social Work and Social Welfare - Research Reports

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
siriporn kaukulnurak.pdf5.33 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.