การประยุกต์ใช้กระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ปัจจัย ในการเลือกทำเลที่ตั้งของคลังสินค้า

Abstract

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกทำเลที่ตั้งคลังสินค้า โดยงานวิจัยนี้เป็นการวิเคราะห์ปัจจัยประกอบด้วย 5 ปัจจัยหลัก ซึ่งประกอบด้วย ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม ปัจจัยด้านการขนส่ง ปัจจัยด้านลูกค้าและผู้ผลิต ปัจจัยด้านบุคลากร และปัจจัยด้านกฎระเบียบ โดยมีปัจจัยรองจำนวน 20 ปัจจัย โดยใช้เทคนิควิธีกระบวนการลำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ (Analysis Hierarchy Process) เพื่อคำนวณหาน้ำหนักความสำคัญของปัจจัยและวิเคราะห์เปรียบเทียบความสำคัญของปัจจัยในการเลือกทำเลที่ตั้งของคลังสินค้า ซึ่งผลการวิจัยพบว่าปัจจัยด้านกฎระเบียบมีความสำคัญมากที่สุด (ร้อยละ 32) รองลงมาเป็นปัจจัยด้านการขนส่ง (ร้อยละ 27) ปัจจัยด้านบุคลากร (ร้อยละ 17) ปัจจัยด้านลูกค้าและผู้ผลิต (ร้อยละ 14) ตามลำดับ และปัจจัยที่มีความสำคัญน้อยที่สุดคือปัจจัยสภาพแวดล้อม (ร้อยละ 8) สำหรับปัจจัยรองที่มีความสำคัญมากที่สุด 5 อันดับแรกประกอบด้วย ปัจจัยรองด้านมาตรฐานอุตสาหกรรมมากที่สุด (ร้อยละ 31.80) รองลงมาเป็นปัจจัยด้านกฎหมาย(ร้อยละ 30.5) ปัจจัยด้านคุณภาพและความน่าเชื่อถือของการขนส่ง(ร้อยละ 10.4) นโยบายภาครัฐ(ร้อยละ 7.4) และการเมือง(ร้อยละ 6.9) ตามลำดับ

The aim of this research is to study the factors affecting warehouse location selection. The study is to analyse main factors, including five main criteria such as environment, transportation, customers and manufacturers, labor characteristics and regulation and twenty sub-criteria. By means of Analytical Hierarchy Process (AHP) technique, the proposed approach is employed to determine the important weights of criteria and calculate priorities from pairwise comparisons for each pair of decision factors in warehouse location selection. Results revealed that regulation (32 %) is the most significant main factor, followed by transportation (27%), labor characteristics (17%), customers and manufacturers (14%) whereas the least significant factor is environment (8%) when selecting warehouse location. For each sub-criteria, the top five most preference order are comprised of industrial standards (31.80%), legal ( 30.5%), quality and reliability of transportation (10.4%), policies (7.4%) and politics (6.9%) respectively