Please use this identifier to cite or link to this item: https://has.hcu.ac.th/jspui/handle/123456789/214
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
dc.contributor.advisorธัญญา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา-
dc.contributor.advisorThanya Sanitwongse Na Ayuttaya-
dc.contributor.authorอรวรรณ ฉ่ำชื่น-
dc.contributor.authorOrawan Chamchuen-
dc.contributor.otherHuachiew Chalermprakiet University. Faculty of Social Work and Social Welfare-
dc.date.accessioned2022-05-04T03:55:37Z-
dc.date.available2022-05-04T03:55:37Z-
dc.date.issued1998-
dc.identifier.urihttps://has.hcu.ac.th/jspui/handle/123456789/214-
dc.descriptionวิทยานิพนธ์ (สส.ม.) (การจัดการโครงการสวัสดิการสังคม) -- มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ, 2541th
dc.description.abstractการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะถดถอยจากสังคมของผู้สูงอายุชาวพุทธในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาภาวะถดถอยจากสังคมของผู้สูงอายุชาวพุทธในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะถดถอยจากสังคมและเปรียบเทียบความแตกต่างของปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลให้ผู้สูงอายุรู้สึกถดถอยจากสังคม ของผู้สูงอายุชาวพุทธในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยคำนึงถึงตัวแปรด้าน เพศ อายุ การศึกษา อาชีพเดิม สุขภาพ การอาศัยในเขตพื้นที่ ลักษณะการอยู่อาศัย จำนวนสมาชิกในครอบครัว ฐานะทางเศรษฐกิจ ทัศนคติต่อการสูงอายุ ทัศนคติต่อตนเอง การเชื่ออำนาจในตนเอง ความเชื่อการปฏิบัติทางพุทธและวิถีชีวิตแบบพุทธ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 310 คน ได้แก่ผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานคร จำนวน 157 คน และปริมณฑล จำนวน 143 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (Oneway Analysis of Variance) และสถิติเชิงพรรณนา แสดงค่าร้อยละ และ ค่าเฉลี่ย (Percentage and Means) ผลการศึกษาพบว่าผู้สูงอายุเพศชายหญิง มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน มีอายุเฉลี่ย 68.2 ปี มีสถานภาพเป็น ผู้สมรสและอยู่ร่วมกัน มีการศึกษาระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษา มีสุขภาพค่อนข้างแข็งแรง มีลักษณะการอยู่อาศัยแบบมีเพื่อนบ้านหรืออยู่ร่วมชุมชน และจำนวนสมาชิกเฉลี่ยครอบครัวละ 4.8 คน และฐานะทางเศรษฐกิจและการเงิน พบว่าอาชีพเดิมของผู้สูงอายุส่วนใหญ่ คือธุรกิจส่วนตัวหรือค้าขาย และยังคงประกอบอาชีพ มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 7,738 บาท ส่วนใหญ่มีรายได้มาจากการทำงานของตนเอง แต่ไม่ได้เป็นผู้หารายได้หลักของครอบครัว ผลการศึกษาภาวะถดถอยจากสังคมของผู้สูงอายุชาวพุทธ พบว่า ผู้สูงอายุจะมีการถดถอยออกจากสังคม ใน 2 ลักษณะคือ ถดถอยจากสังคมด้วยความเต็มใจ และไม่ต้องการถดถอยออกจากสังคมโดยผู้สูงอายุกลุ่มนี้ต้องมีกิจกรรมมารองรับในการถอนตัวจากสังคม ส่วนผลการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะถดถอยจากสังคมของผู้สูงอายุชาวพุทธมีคือทัศนคติต่อการสูงอายุ รายได้ การเชื่ออำนาจในตนเองของผู้สูงอายุ สุขภาพ และเขตพื้นที่ ซึ่งตัวแปรที่สำคัญที่เป็นอิทธิพลต่อภาวะถดถอยจากสังคมของผู้สูงอายุ คือ การเป็นผู้ที่สุขภาพดี มีเขตพื้นที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร จะมีการถดถอยจากสังคมได้ดี ผลการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในชีวิตของผู้สูงอายุชาวพุทธ กับการร่วมกิจกรรมทางศาสนา พบว่ามี 7 ปัจจัย คือทัศนคติที่มีต่อการสูงอายุ ทัศนคติที่ดีต่อตนเอง การเชื่ออำนาจในตนเอง การยอมรับการเปลี่ยนแปลง (การถดถอยจากสังคม) มีอายุน้อย ร่วมกิจกรรมทางศาสนายังคงประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนเอง ผลการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในชีวิตของผู้สูงอายุชาวพุทธกับการร่วมกิจกรรมทางสังคม พบว่ามี 5 ปัจจัยดังนี้คือ การมีทัศนคติที่ดีต่อการสูงอายุ ทัศนคติต่อตนเอง การเชื่ออำนาจในตนเอง การยอมรับการเปลี่ยนแปลง (การถดถอยจากสังคม) และมีอายุน้อย ซึ่งจะเห็นว่าการร่วมกิจกรรมทางสังคมไม่มีผลให้ผู้สูงอายุรู้สึกพึงพอใจในชีวิต ซึ่งตรงกันข้ามกับการร่วมกิจกรรม ทางศาสนาที่พบว่ามีผลโดยตรงกับความรู้สึกพึงพอใจในชีวิต จากผลการศึกษา มีข้อเสนอแนะในระดับนโยบาย และกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุรวมทั้งองค์กรหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีส่วนจัดการดูแลผู้สูงอายุเพื่อหาแนวทางมาตรการในการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุ ผู้ซึ่งเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญและมีคุณค่าต่อสังคมไทย ให้ได้มีความสุขอย่างแท้จริงในบั้นปลายของชีวิตth
dc.description.abstractThis research aimed to study the factors effecting life satisfaction due to disengagement and activity participation of the Buddhist elderly in Bangkok Metropolitan and its suburban provinces, Samut-Prakan and Chachuengsao. Data was collected from 310 samples 157 from Bangkok and 143 from suburbs, It’s analyzed by SPSS PC+ computer program, using descriptives analysis, stepwise multiple regression and one-way analysis of variance for statistical analysis. The results showed the percentage of elderly men and women were of the same proportion . They were approximately 68.2 years old, married and lived together. Mostly finished primary and secondary levels. They were generally healthy. Lived in community surrounding (among friends and neighbors) with about 4.8 persons in the families. The major ‘previous careers’ were businesspersons and merchants. Most of their income was from self employment though it was not the main family income. From the results, there were 2 kinds of disengagement form society: with and without pleasure. Who disengaged without pleasure, they needed to be encouraged by activities. The important factors effecting disengagement of the Buddhist elderly were attitude towards aging, income, belief in internal locus of control, health, and city residing. Elderly disengaged happily mostly were healthy and lived in city. To study factors effecting the involving in 2 types of activities, religious and social; the finding found that the belief, practice in Buddhism and lived in Buddhist way of lives encouraged elderly to joined religious activities while good attitude towards oneself and absolutely retirement from work encouraged those who joined social activities. To study elderly’s life satisfaction through activities, the findings were as follow: - Through religious activities; 7 factors, which were good attitudes towards aging and oneself, belief in internal locus of control, well disengagement, young aging, participation in religious activities and working still, influenced elderly to be satisfied in lives. - Through social activities; 5 factors, which were good attitudes towards aging and oneself, belief in internal locus of control, well disengagement and young aging, influenced elderly to be satisfied in lives. From the results of the study, it was concluded that, good attitudes towards aging encouraged elderly to be well disengaged form society which meaned they were able to accept changes in lives, all in physical, social and mental changes. It was also confirmed that, without religious activities, social activities alone would not provide life satisfactory to elderly people. The suggestion from the results of this study is that organizations concerning elderly should provide appropriate associations or centers and activities for elderly in order that they could live happily in the less of their lives.th
dc.language.isothth
dc.publisherมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติth
dc.subjectการปรับตัว (จิตวิทยา) ในผู้สูงอายุth
dc.subjectการรับรู้ทางสังคมในผู้สูงอายุth
dc.subjectAdjustment (Psychology) in old ageth
dc.subjectSocial perception in old ageth
dc.subjectผู้สูงอายุ -- การดำเนินชีวิตth
dc.subjectOlder people -- Conduct of lifeth
dc.titleปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในชีวิตอันเกิดจากภาวะถดถอยจากสังคมและการร่วมกิจกรรมของผู้สูงอายุชาวพุทธ : ศึกษากรณีผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลth
dc.title.alternativeFactors Effecting Life Satisfaction Due Disengagement and Activity Participation of Buddist Elderly in Bangkok Metropolitan and Its Suburbsth
dc.typeThesisth
dc.degree.nameสังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิตth
dc.degree.levelปริญญาโทth
dc.degree.disciplineการจัดการโครงการสวัสดิการสังคมth
Appears in Collections:Social Work and Social Welfare - Theses

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
Abstract.pdf331.8 kBAdobe PDFView/Open
Tableofcontence.pdf569.52 kBAdobe PDFView/Open
Chapter1.pdf461.42 kBAdobe PDFView/Open
Chapter2.pdf2.73 MBAdobe PDFView/Open
Chapter3.pdf379.88 kBAdobe PDFView/Open
Chapter4.pdf4.84 MBAdobe PDFView/Open
Chapter5.pdf1.52 MBAdobe PDFView/Open
Reference.pdf1.09 MBAdobe PDFView/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.