กรุณาใช้ตัวระบุนี้เพื่ออ้างอิงหรือเชื่อมต่อรายการนี้:
https://has.hcu.ac.th/jspui/handle/123456789/4735| ชื่อเรื่อง: | การพัฒนารูปแบบของโปรแกรมการสร้างเสริมความเข้มแข็งทางใจเพื่อลดความเครียดของนักศึกษาพยาบาล |
| ชื่อเรื่องอื่นๆ: | Model Development of a Resilience Promotion Program to Reduce Stress in Nursing Students |
| ผู้แต่ง/ผู้ร่วมงาน: | ทวีศักดิ์ กสิผล ชนิกา เจริญจิตต์กุล Taweesak Kasiphol Chanika Jaroenkitkul Huachiew Chalermprakiet University. Faculty of Nursing Huachiew Chalermprakiet University. Faculty of Nursing |
| คำสำคัญ: | ความเครียดในวัยรุ่น Stress in adolescence นักศึกษาพยาบาล Nursing students การเจริญสติ Mindfulness สมาธิ Samadhi การบริหารความเครียดสำหรับวัยรุ่น Stress management for teenagers |
| วันที่เผยแพร่: | 2025 |
| แหล่งอ้างอิง: | วารสารสภาการพยาบาล 40, 1 (มกราคม-มีนาคม 2568) : 31-46. |
| บทคัดย่อ: | ความเครียดในนักศึกษาพยาบาลเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่สำคัญ โดยเฉพาะในสังคมยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นักศึกษาพยาบาลต้องเผชิญกับภาระการเรียนที่เข้มข้นทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ รวมถึงการฝึกงานที่มักมีความกดดันสูง ทำให้เกิดความเครียดในระหว่างการศึกษา อีกทั้งการปรับตัวเข้าสู่วิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเครียด การขาดประสบการณ์ในสถานการณ์จริงและความคาดหวังจากผู้ปกครอง ปัจจัยด้านการจัดการเรียนการสอน สัมพันธภาพกับเพื่อนและอาจารย์ อาจทำให้ความเครียดยิ่งทวีความรุนแรง ระบบการดูแลนักศึกษาที่มีอยู่ อาจไม่สามารถช่วยลดความเครียดได้ตลอดเวลา แนวทางหนึ่งที่จะช่วยนักศึกษาให้สามารถเผชิญกับสถานการณ์ความเครียดได้คือ การสร้างความเข้มแข็งทางใจร่วมกับแนวคิดการเจริญสติ จึงเป็นที่มาในการพัฒนาโปรแกรมการสร้างเสริมความเข้มแข็งทางใจเพื่อลดความเครียดของนักศึกษาพยาบาล เพื่อเป็นแนวทางของการสร้างเสริมสุขภาพอันจะนำไปสู่การมีสุขภาวะที่ดีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์ความเครียดของนักศึกษาพยาบาลและพัฒนารูปแบบโปรแกรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจเพื่อลดความเครียดของนักศึกษาพยาบาล และ 2) เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมฯ ต่อความเครียดของนักศึกษาพยาบาล สมมติฐานการวิจัย ได้แก่ 1) ความเครียดของนักศึกษากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมแตกต่างกันอย่างน้อย 1 คู่ 2) ความเครียดของนักศึกษาก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ แตกต่างกัน และ 3) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเวลาและโปรแกรมฯ มีผลต่อความเครียดของนักศึกษาการออกแบบการวิจัย การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนาโดยประยุกต์แนวคิดความเข้มแข็งทางใจของกรอทเบอร์ก คือ “I have I am I can” และการฝึกสติด้วยการทำสมาธิเป็นฐานของคาบาทซิน โดยการพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมความเข้มแข็งทางใจเพื่อลดความเครียดของนักศึกษาพยาบาล ผู้วิจัยศึกษาสถานการณ์ความเครียดของนักศึกษาพยาบาลบูรณาการร่วมกับแนวคิดทฤษฎีความเข้มแข็งทางใจ และแนวคิดการเจริญสติและสมาธิ ประกอบด้วย 3 โมดูล ได้แก่ การเตรียมความรู้ การเตรียมจิตใจและการสร้างเสริมความเข้มแข็งทางใจ เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาที่เริ่มก่อให้เกิดความเครียด ซึ่งส่งผลให้นักศึกษาสามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตจากปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียดให้ลดลงได้การดำเนินการวิจัย กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 1- 4 ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2566 มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนี่ง สังกัดสำนักงานการอุดมศึกษาเอกชนระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึง มิถุนายน พ.ศ. 2567เลือกแบบเฉพาะเจาะจง กำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้โปรแกรม G* Power แบ่งเป็น2 ช่วง คือ 1) การศึกษาสถานการณ์ความเครียดของนักศึกษาพยาบาล จำนวนตัวอย่าง 141 คน และ 2) การนำรูปแบบของโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นไปทดลองใช้ในผู้ที่มีความเครียดอยู่ในระดับปานกลางถึงสูงจำนวนตัวอย่าง 30 คน จัดเข้ากลุ่มทดลอง 15 คน และกลุ่มควบคุม 15 คน โดยการจับคู่ เครื่องมือวิจัย ได้แก่1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป 2) แบบวัดความเครียดของสวนปรุง ที่มีการตรวจสอบความเที่ยง ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .90 3) แบบสอบถามปลายเปิดเกี่ยวกับสาเหตุของความเครียดและการจัดการความเครียด และ 4) โปรแกรมการสร้างเสริมความเข้มแข็งทางใจเพื่อลดความเครียดของนักศึกษาพยาบาล ประกอบด้วย คู่มือการใช้โปรแกรม คลิปวิดีโอการฝึกสติด้วยการทำสมาธิ และใบงานของกิจกรรม 3 โมดูล มีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาของโปรแกรม เท่ากับ .89 การเก็บรวบรวมข้อมูลแบ่งเป็น3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การศึกษาสถานการณ์ความเครียดของนักศึกษาพยาบาล และแนวคิดทฤษฏีการพัฒนาโปรแกรมการสร้างเสริมความเข้มแข็งทางใจเพื่อลคความเครียดของนักศึกษาพยาบาล ผู้วิจัยสำรวจความเครียดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้แบบวัดความเครียดของสวนปรุง รวมทั้งสาเหตุของความเครียด และวิธีการจัดการกับความเครียดของนักศึกษาพยาบาล ด้วยแบบสอบถามสาเหตุของความเครียดและวิธีการจัดการกับความเครียด ผ่าน QR code ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบของโปรแกรมการสร้างเสริมความเข้มแข็งทางใจเพื่อลดความเครียดของนักศึกษาพยาบาล ประกอบด้วย 1) วางแผนการพัฒนาโปรแกรมฯโดยนำข้อมูลที่สำรวจได้จากระยะที่ 1 บูรณาการร่วมกับการฝึกสติด้วยการทำสมาธิเป็นฐาน และศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2) จัดทำคู่มือและเอกสารประกอบกิจกรรม 3 โมดูล ได้แก่ การเตรียมความพร้อมทางด้านความรู้ การเตรียมจิตใจ และการสร้างความเข้มแข็งทางใจ และระยะที่ 3 การนำโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นไปทดลองใช้ โดยนักศึกษากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมตอบแบบสอบถามข้อมูลทั่วไปและแบบวัดความเครียดสวนปรุงผู้วิจัยมอบหมายใบงาน คู่มือและเอกสารประกอบกิจกรรมให้กับกลุ่มทดลองเพื่อเตรียมพร้อมในการเข้าร่วมกิจกรรมทั้ง 3 โมดูล จากนั้นจัดกิจกรรมตามโปรแกรมฯ โดยเน้นการฝึกสติ รวม 6 กิจกรรม ใช้เวลา 6 สัปดาห์ ๆ ละ1 ครั้ง ๆ ละ 90 นาที ในขณะที่กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลในระบบให้คำปรึกษาตามปกติ จากนั้นประเมินความเครียดหลังสิ้นสุดโปรแกรมทันที และติดตามหลังสิ้นสุดโปรแกรม 1 เดือน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางวัดซ้ำ และสถิติ Bonferroni
3 มากที่สุด (ร้อยละ 30.5) มีความสัมพันธ์กับครอบครัว โดยสมาชิกในครอบครัวสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ (ร้อยละ 54.6) ความสัมพันธ์กับเพื่อนส่วนใหญ่เป็นแบบสนับสนุนให้ความช่วยเหลือ(ร้อยละ 34.8) ความสัมพันธ์กับอาจารย์เมื่อเผชิญกับปัญหาพบว่า เป็นแบบต้องการความช่วยเหลือจากอาจารย์ แต่ไม่กล้าเข้าหามากที่สุด (ร้อยละ 48.9) กลุ่มตัวอย่างมีความเครียดอยู่ในระดับรุนแรงมากที่สุด(ร้อยละ 54.6) รองลงมาคือระดับมาก (ร้อยละ 34.1) ระดับปานกลาง (ร้อยละ 9.9) และระดับต่ำ (ร้อยละ 1.4)ตามลำดับ สาเหตุของความเครียดที่พบมากที่สุดคือด้านการเรียน (ร้อยละ 72.3)การจัดการกับความเครียด พบว่า นักศึกษาเลือกวิธีการจัดการกับความเครียดโดยเริ่มที่ตนเองมากที่สุด (ร้อยละ 44.7) รองลงมาคือปรึกษาครอบครัว (ร้อยละ 29.8) และปรึกษาบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ครอบครัว (ร้อยละ 25.5) ตามลำดับ ในระยะที่ 2 ได้รูปแบบโปรแกรมการสร้างเสริมความเข้มแข็งทางใจเพื่อลดความเครียดของนักศึกษาพยาบาล รวมกิจกรรม 6 ครั้ง ประกอบด้วย1) การเรียนรู้และเข้าใจความหมายและความสำคัญของความเข้มแข็งทางใจ เรียนรู้การฝึกสติ รวมทั้งสร้างสัมพันธภาพ2) การสำรวจปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียด และผลของอารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้น 3) การวางแผน/กำหนดเป้าหมายและวิธีการสร้างเป้าหมายชีวิต 4) การสนทนาแลกเปลี่ยนและใช้คำถามเชิงลึกเพื่อค้นหาคนรู้ใจที่รับฟังและเป็นผู้ที่สนับสนุนให้นักศึกษาสามารถรับมือกับปัญหาหรือลดผลกระทบต่อจิตใจจากเหตุการณ์วิกฤตให้ก้าวผ่านไปได้ 5) การทบทวนความสัมพันธ์ รวมทั้งอภิปรายในประเด็นการสื่อสารทั้งวาจาและท่าทางที่อาจเป็นเชิงลบ และการปรับแนวทางการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และ 6)การสร้างความเข้มแข็งทางใจภายใต้การมีสติตื่นรู้ต่อสถานการณ์ต่าง ๆ รวมทั้งการยอมรับ เข้าใจ และสามารถเตรียมตัวเองให้พร้อมเสมอที่จะรับมือกับสถานการณ์นั้น ระยะที่ 3ผลของการนำรูปแบบโปรแกรมการสร้างเสริมความเข้มแข็งทางใจของนักศึกษาไปใช้ พบว่า กลุ่มควบคุมมีค่าเฉลี่ยความเครียดก่อนทดลองอยู่ในระดับสูง (M = 49.1, SD = 8.8) หลังสิ้นสุดการทดลองทันที (M = 50.0, SD = 8.8) และหลังสิ้นสุดการทดลอง 1 เดือนยังคงอยู่ในระดับสูง (M = 51.4, SD = 8.7) ในขณะที่กลุ่มทดลองมีความเครียดก่อนทดลองอยู่ในระดับสูง (M = 45.7, SD = 6.8) หลังสิ้นสุดการทดลองทันที (M = 41.3, SD = 4.9)และหลังสิ้นสุดการทดลอง 1 เดือนอยู่ในระดับปานกลาง (M = 41.5, SD = 5.1) ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบ 2 ทางวัดซ้ำ พบว่า ความเครียดก่อนการทดลอง หลังสิ้นสุดการทดลองทันที และหลังสิ้นสุดการทดลอง 1 เดือนภายในกลุ่มไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F = 1.167, p = .304) อย่างไรก็ตาม ปฏิสัมพันธ์ระหว่างช่วงเวลาและโปรแกรมมีผลต่อความเครียดของนักศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F = 4.413, p = .032) เมื่อวิเคราะห์ระหว่างกลุ่มพบว่า ความเครียดของกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (F = 9.936, p = .004) ผลการวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ พบว่า กลุ่มทดลองมีความเครียดแตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในระยะหลังสิ้นสุดโปรแกรมทันที (Mean difference, MD = -8.733, p = .002) และในระยะ 1 เดือนหลังสิ้นสุดโปรแกรม (MD = -9.933, p = .001)
ข้อเสนอแนะ ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิผลของโปรแกรมดังนั้นอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรและผู้เกี่ยวข้องควรนำโปรแกรมไปปรับใช้เพิ่มเติมจากระบบการให้คำปรึกษานักศึกษาที่มีอยู่เดิม และควรมีการศึกษาติดตามในระยะยาวเพื่อให้เห็นผลอย่างต่อเนื่อง และนำไปขยายผลต่อไป Introduction Stress in nursing students is a significant mental health problem, particularly in the digital age, where rapid societal changes can exacerbate its impact. Nursing students experience intense academic pressures in theoretical and practical courses and high levels of stress during clinical practice. Additionally, adjusting to professional roles in patient care is a key factor contributing to stress. The lack of real-life experience and external pressures, such as expectations from family members, can further elevate stress levels. Teaching and learning process, relationships with peers and instructors, and other factors may amplify these stressors. The existing student support systems may not always be sufficient to mitigate stress effectively. One potential approach to helping students manage stressful situations is the development of resilience and mindfulness practices. This study aims to develop a resilience promotion program to reduce stress among nursing students, contributing to their well-being. Objectives 1) To describe stress and develop a resilience promotion program to reduce stress in nursing students, and 2) To examine effects of the program on stress in nursing students. The research hypotheses are: 1) There is a difference in stress between the experimental and control groups, 2) There is a difference in stress before and after participating in the program, and 3) The interaction between time and the program affects the stress in nursing students. bat-Zinn’s mindfulness practice through meditation. The researchers developed the program by exploring the stress situation in nursing students and exploring the concepts of resilience and mindfulness through meditation. The program included three modules: preparing knowledge, preparing mind, and resilience. This approach helped students navigate crises that led to stress reduction. Methodology The participants consisted of first-year to fourth-year nursing students at a private university under the Office of the Higher Education Commission, enrolled in the second semester of the 2023-2024 academic year, from February to June 2024. Participants were selected through purposive sampling. The sample size was calculated using the G* Power program, consisting of two parts: 1) Exploring the stress situation in 141 nursing students and 2) Developing and testing the program in 30 students experiencing moderate to high stress, divided into an experimental group (15 students) and a control group (15 students) using a matched-pair design. The research tools included: 1) a demographic questionnaire, 2) The Suanprung Stress Scale with a Cronbach’s alpha coefficient of .90, 3) An open-ended questionnaire regarding stressors and stress management, and 4) The resilience promotion program, including a program manual, mindfulness meditation training videos, and activity worksheets for three modules. The program’s content validity index (CVI) was .89. Data were collected in three phases: Phase 1: The stress levels of nursing students were assessed, and the causes and coping strategies were identified through a stress questionnaire and open-ended questions distributed via QR codes. Phase 2:The resilience promotion program was developed based on findings from Phase 1, integrating with mindfulness meditation and reviewing relevant research. The program consisted of three main modules: preparing knowledge, preparing mind, and resilience. Phase 3: The developed program was implemented with the experimental group, while the control group received regular counseling services. The program consisted of six activities over six weeks, each lasting 90 minutes. The stress levels of both groups were measured immediately after the program and one month later. Data analysis employed Descriptive statistics, Two-way repeated measures ANOVA, and Bonferroni. Results In Phase 1, 141 nursing students participated, with 95.7% female. The highest proportion(30.5%) was in the third year. Most students reported positive relationships with their families (54.6%)and supportive friendships (34.8%), while 48.9% felt they needed help from their instructors but were reluctant to approach them. Stress was most commonly severe (54.6%) and associated primarilywith academic demands (72.3%). Strategies to manage stress were mostly self-initiated (44.7%),followed by consulting family members (29.8%) and non-family external sources (25.5%).In Phase 2, a six-session program was developed to promote resilience, covering understanding resilience, identifying stressors, setting goals, fostering supportive relationships, improving communication skills, and building resilience through mindfulness. In Phase 3, the control group revealed high-stress levels before and after the intervention (M = 49.1, SD = 8.8 and M = 50.0, SD = 8.8, respectively),with levels remaining high one month after the program (M = 51.4, SD = 8.7). The experimental group showed significantly lower stress levels, from high levels before the program (M = 45.7, SD = 6.8) to moderate levels after the program (M = 41.5, SD = 5.1) one month later. Two-way repeated measures ANOVA revealed no significant differences in time within group (F = 1.167, p = .304). However, interaction between time and program significantly affected stress (F = 4.413, p = .032). Analysis between groups also found significant differences (F = 9.936, p = .004), with the experimental group showing a statistically significant reduction in stress immediately after the program (MD = -8.733, p = .002) and one month later (MD = -9.933, p = .001).Recommendation The findings indicate that the resilience promotion program effectively reduces stress among nursing students. It is recommended that the curriculum coordinator and relevant stakeholders integrate this program into existing student support systems and conduct long-term follow-up studies to assess its sustained impact. Further research could extend the application of this program to other educational contexts. |
| รายละเอียด: | สามารถเข้าถึงบทความฉบับเต็ม (Full Text) ได้ที่ : https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/271368/186122 |
| URI: | https://has.hcu.ac.th/jspui/handle/123456789/4735 |
| ปรากฏในกลุ่มข้อมูล: | Nursing - Articles Journals |
แฟ้มในรายการข้อมูลนี้:
| แฟ้ม | รายละเอียด | ขนาด | รูปแบบ | |
|---|---|---|---|---|
| Model-Development-of-a-Resilience-Promotion-Program-to-Reduce-Stress-in-Nursing-Students.pdf | 92.21 kB | Adobe PDF | ดู/เปิด |
รายการทั้งหมดในระบบคิดีได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ มีการสงวนสิทธิ์เว้นแต่ที่ระบุไว้เป็นอื่น