การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) มีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) และมีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ให้สัมภาษณ์ข้อมูลเพิ่มเติม จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1) ศึกษารูปแบบการอยู่ร่วมกันของชุมชน พหุวัฒนธรรมตามหลัก สาราณียธรรม 6: ชุมชนวัดหงส์รัตนาราม และชุมชนมัสยิดต้นสน กรุงเทพมหานคร และ 2) นำเสนอลักษณะการอยู่ร่วมกันของชุมชนพหุวัฒนธรรมตามหลักสาราณียธรรม 6: ชุมชนวัดหงส์รัตนารามและชุมชนมัสยิดต้นสน กรุงเทพมหานคร มีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) ประขากรที่ทำการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ประชาชนในชุมชนวัดหงส์รัตนาราม และชุมชนมัสยิดต้นสน จำนวน 1,284 คน จำนวน 388 ครัวเรือน โดยกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 305 ผู้ที่กรอกแบบสอบถามเป็นประชาชนที่อาศัยในชุมชน
ผลการวิจัย พบว่า
1. การอยู่ร่วมกันของชุมชนพหุวัฒนธรรมตามหลักสาราณียธรรม 6: ชุมชนวัดหงส์รัตนาราม และชุมชนมัสยิดต้นสน กรุงเทพมหานคร โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทั้ง 6 ด้าน โดยด้านที่มีการอยู่ร่วมกันมากที่สุด คือ ด้านเมตตากายกรรม
2. ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันของชุมชนพหุวัฒนธรรมตามหลักสาราณียธรรม 6: ชุมชนวัดหงส์รัตนาราม และชุมชนมัสยิดต้นสน กรุงเทพมหานคร พบว่า ปัญหาหรืออุปสัคบางอย่างภายในชุมชน ที่มีความเป็นอยู่กันต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรม กับไม่มีปัญหาอันใด ที่ทำให้เกิดความแบ่งแยก หรือแตกแยกเลย เข้ามีความพยายามที่จะปรับทัศนคติหรือมีความคิดที่จะพัฒนาชุมชน หรือช่วยกันรับมือและแก้ไขปัญหาร่วมกันเป็นอย่างดี เพื่อให้ทั้งสองชุมชนเป็นอยู่อย่างสันติสุข
ทั้งนี้ก็เพราะว่า ทุกคนมีความสำนึกในชาติ คือ ถือว่าตนเป็นคนไทย รักผืนแผ่นดินไทย คนไทยทุกคนไม่ว่าเชื้อชาติใด เมื่อมาอยู่ร่วมกันก็ถือเป็นเพื่อนร่วมชาติเป็นพี่น้องกัน อนึ่ง ทุกคนมีศาสนา แม้จะแตกต่างกัน แต่ก็มีหลักการเดียวกัน คือ ทุกศาสนาสอนให้ตนเป็นคนดี มีน้ำใจ มีเมตตา ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่วิวาทบาดหมางกัน ประกอบอาชีพสุจริต เพื่อสร้างตน สร้างสังคม และประเทศชาติให้มั่นคง ทุกคนมีความจงรักภักดีในพระมหากษัตริย์ แม้จะเป็นชาวพุทธแต่ก็ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก ทรงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนด้วยทศพิธราชธรรม เหตุปัจจัยและองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ส่งผลให้ประชาชนต่างศาสนาอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ซึ่งหลักการและพฤติการณ์ดังกล่าวสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสังคมต่างศาสนาในที่อื่นๆ ของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี
The research is quantitative research through survey. The data was collected by questionnaire and also addition interview from the key informant. It aims to 1) the study of the living condition of multiculturalism due to the 6 states of conciliation of Wat Hongratanaram and Tonson Mosque communities; 2) the presentation of the living condition of multiculturalism due to the 6 states of conciliation of Wat Hongratanaram and Tonson Mosque communities. The population types are people in general of Wat Hongratanaram and Tonson Mosque communities in the amount of 1,284 persons; 388 housholds. The random sampling of 305 sampling was applied.
However, everybody within the communities is emphasized on the Thai nation. They would like to live happily within the society. Even thought, the =y are noy the same religious. Based upon the teachings, every religious teaches how to be the good person. Everyone pays respect to the King. They know that the King is kind and support every religious equally.
The findings of the study were as follows:
1. The study of the living condition of multiculturalism due to the 6 states of conciliation of Wat Hongratanaram and Tonson Mosque communities were at the high level. When it is specified by each aspect was at the high level in all aspects but the most score was amiable in deed aspect.
2. The presentation of the living condition of multiculturalism due to the 6 states of conciliation of Wat Hongratanaram and Tonson Mosque communities in the fields of problems, obstacles, and recommendations are found that the religious is not the key factors which leads to harmony. Nevertheless, they try to solve the problems together.
