การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสํารวจความชุกของพาหะธาลัสซีเมีย (thalassemia) และฮีโมโกลบินผิดปกติในผู้ที่มารับบริการที่แผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลเซ็นทรัลปาร์ค อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ด้วยการทดสอบความเปราะของเม็ดเลือดแดง (osmotic fragility; OF test) และ การทดสอบฮีโมโกลบินไม่เสถียรโดยการตกตะกอนด้วยสีดีซีไอพี (dichlorophenol-indophenol precipitation; DCIP test) ซึ่งเป็นวิธีตรวจคัดกรองมาตรฐาน จากเลือดผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลเซ็นทรัลปาร์ค อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ จากกลุ่มตัวอย่างที่ทําการศึกษาจํานวน 150 ราย แบ่งเป็นเพศชาย 57 ราย และเพศหญิง 93 ราย มีอายุระหว่าง 9–89 ปี จากผลการศึกษาพบว่ากลุ่มที่มีความชุกของยีนแฝงมากที่สุด คือ กลุ่มที่ให้ผล OF test เป็นบวกหรือลบ และ DCIP test
เป็นบวก คาดการณ์ว่าเป็นกลุ่มที่มีฮีโมโกลบินผิดปกติชนิดอี (Hb E) คิดเป็นร้อยละ 24.7 รองลงมาคือกลุ่มที่ให้ผล OF test เป็นบวก แต่ DCIP test เป็นลบ คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นพาหะแอลฟาธาลัสซีเมีย (α-thalassemia trait) หรือพาหะเบตาธาลัสซีเมีย (β-thalassemia trait) หรือทั้งสองชนิดรวมกัน คิดเป็นร!อยละ 20.6 ส่วนกลุ่มที่มีผลการทดลองทั้ง OF test และ DCIP test เป็นลบ คาดการณ์ว่าเป็นคนปกติหรือพาหะธาลัสซีเมียชนิดที่ไม่รุนแรงจํานวน 82 ราย คิดเป็นร้อยละ 54.7 การศึกษาครั้งนี้แสดงว่าผู้ป่วยนอกที่มารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นกลุ่มที่มียีนแฝงธาลัสซีเมียและฮีโมโกลบินอีค่อนข้างสูง ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องจึงควรให้ความสําคัญในการป้องกันและควบคุมพาหะธาลัสซีเมียที่อาจก่อให้เกิดธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง โดยข้อมูลที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้สามารถนําไปใช้เป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการธาลัสซีเมียในพื้นที่อําเภอบางพลี จังหวัด
สมุทรปราการต่อไป
The objective of this study was to investigate the prevalence of thalassemia carriers and
hemoglobinopathies in people who attend the out-patients clinic at Central Park Hospital,
Bangplee District, Samutprakarn Province by standard screening method using osmotic fragility test (OF test) and dichlorophenol indophenol precipitation test (DCIP test. Blood samples from 150 out-patients with 57 males and 93 females, samples aged between 9 and 89 were recruited in this study. The results showed 24.7% with the highest prevalence for DCIP test positive and OF test positive or negative result which suspect of Hb E. A prevalence rate of 20.6% had positive result on OF test but negative on DCIP test, suspect of α-thalassemia trait or β-thalassemia trait or co-inheritance of α-thalassemia a n d β-thalassemia carriers. There were 54.7% with negative results on both OF and DCIP tests suspect of normal or non-clinically significant thalassemia. These results indicated that patients who visit this hospital mostly carry the gene for Hb E. Therefore, medical staffs should focus on prevention and control of thalassemia carriers causing the occurrence of severe thalassemia. The information acquired
from this study could be benefits in strategic planning for management of thalassemia in
Bangplee District, Samut Prakarn Province.